ประเด็นร้อน
ทุ่งใหญ่ บริษัทก็ใหญ่ เรื่องจึงใหญ่
โดย ACT โพสเมื่อ Feb 09,2018
- - สำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจ - -
คอลัมน์ ศุกร์ เว้น ศุกร์ : โดย ศ.ดร.วรภัทร โตธนะเกษม
สังคมกำลังสนใจประเด็นธรรมาภิบาลว่าถ้าซีอีโอ ของบริษัทไปทำอะไรที่ผิดจริยธรรม แล้วผลต่อบริษัทน่าจะเป็นเช่นใด
ตลาดหลักทรัพย์ฯ แถลงว่ากรณีซีอีโอ ออกป่าล่าสัตว์ ในขณะนี้ยังไม่เข้าข่ายประพฤติผิดพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ แต่ ในทางธรรมาภิบาล คิดว่า ไอโอดี ซึ่งทำหน้าที่จัดอันดับธรรมาภิบาล ควรรับไปดำเนินการ ซึ่งไอโอดี ก็แถลงว่าจะมีการพิจารณาเรื่องนี้ต่อไป
ผมเลยอยากนำเสนอ เรื่องราวการประพฤติที่ไม่ถูกจริยธรรม ของซีอีโอในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างอเมริกา ว่ามันเกิดขึ้นกี่รูปแบบ และ ผลที่ตามมาคืออะไร ซึ่งเป็นผลจากงานวิจัยที่เป็นกิจจะลักษณะ เชื่อถือได้
โดยนักวิจัย 2 คน ของมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยระดับโลก รวบรวมกรณีเหล่านั้นที่เกิดขึ้นระหว่างปี 2543-2558 ซึ่งเป็นระยะเวลา นานพอที่จะนำมาวิเคราะห์ได้อย่างมีนัยสำคัญ
ปรากฏว่ารวบรวมได้มากถึง 38 กรณี ที่เป็นข่าวอย่างกว้างขวาง แบ่งเป็นพฤติกรรมของ ซีอีโอ ที่ผิดจริยธรรมประเภทต่างๆ ดังนี้
34% โกหกบอร์ดหรือผู้ถือหุ้น เกี่ยวกับพฤติกรรมส่วนตัว
21% แอบมีความสัมพันธ์ทางเพศ กับผู้ใต้บังคับบัญชา หรือเจ้าหน้าที่ ของบริษัทที่ปรึกษา ฯลฯ
16% ใช้เงินของบริษัทแบบน่ากังขา แม้จะไม่ผิดกฎหมายก็ตาม
16% พฤติกรรมส่วนตัวที่ไม่เหมาะสม หรือ สื่อสารด้วยภาษาที่ก้าวร้าว
13% สื่อสารในที่สาธารณะ ซึ่งมีผลกระทบต่อลูกค้า หรือกลุ่มต่างๆ ในสังคม
คำถามก็คือเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น หลังจากนั้นเกิดอะไรตามมา คำถามนี้ ช่างตรงกับคำถามของสังคมไทยในช่วงเวลานี้ อย่างยิ่ง
นักวิจัยทั้งสองคน ได้บทสรุปมา 5 ข้อ ดังนี้
1. พฤติกรรมดังกล่าว จะไม่จางหายไปจากความทรงจำง่ายๆ โดยเฉลี่ยแล้ว จะเป็นข่าว 250 ครั้ง และเมื่อผ่านไป 5 ปี ก็ยังมีข่าวปรากฏให้เห็น
2. นักลงทุน ไม่ได้ตอบสนองข่าวลบ ในทางลบเสมอไป โดยรวมแล้ว ราคาหุ้นจะร่วงลงบ้างในช่วง 3 วันแรกที่เป็นข่าว แต่ก็มีถึง 11 กรณี จากทั้งหมด 38 กรณี ที่ราคาหุ้นกลับสูงขึ้นหลังเป็นข่าว ซึ่งแสดงว่าพฤติกรรมผิดจริยธรรม ของซีอีโอ กับราคาหุ้น ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันโดยตรงเสมอไป
3. บริษัทส่วนใหญ่ มิได้เฉยเมยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บริษัท 84% ส่งเอกสารชี้แจงข่าว และ 71% โฆษกของบริษัทออกชี้แจงสื่อมวลชนโดยตรง ในขณะที่บอร์ด มักไม่ได้ออกมาแสดงตนมากนัก
4. บทลงโทษ ซีอีโอ มีหลากหลายรูปแบบ 58% จบลงที่การเลิกจ้าง และที่ชัดเจนว่าให้ออกทุกกรณี ก็คือเมื่อซีอีโอ ทำความผิดเรื่องการใช้เงิน ของบริษัทในทางที่ผิด ส่วนอีก 32% เป็นการลงโทษที่หลากหลาย
5. พฤติกรรมที่ผิดจริยธรรมของซีอีโอ มักขยายผลกว้างไกล เช่นบริษัท ต้องสูญเสียลูกค้ารายใหญ่ ถูกตรวจสอบเพิ่มเติมโดยหน่วยงานของรัฐ ถูกฟ้องร้องโดยผู้ถือหุ้น และบางกรณี ถึงกับนำไปสู่การล้มละลาย เป็นต้น
ที่น่าสังเกตก็คือ ซีอีโอ ที่ผิดจริยธรรมและต้องลาออก หลายคนมีบริษัทอื่นเสนอตำแหน่งให้ทันที พร้อมให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเดิม
เช่น นายมาร์ค เฮิร์ด อดีตซีอีโอของฮิวเล็ต แพคการ์ด ซึ่งจ้างสาวสวย เซ็กซี่ อดีตนักแสดงภาพยนตร์มาเป็นพรีเซนเตอร์และไปมีความสัมพันธ์ด้วย และใช้เงินของบริษัทเลี้ยงดูเธออย่างดี เมื่อบอร์ดกดดันให้ลาออก ปรากฏว่า บริษัท ออราเคิล เสนองานให้เขาทันที
นายมาร์ค เฮิร์ด ไปอยู่ที่ ออราเคิล ก็ขับเคลื่อนจนราคาหุ้นของบริษัท สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา บริษัท Equilar ได้จัดอันดับให้ มาร์ค เฮิร์ด เป็นซีอีโอ กลุ่มบริษัทไฮเทค ที่ได้รับผลตอบแทนสูงที่สุด ในประเทศ เขามีรายได้ต่อปีสูงถึง 41.10 ล้านดอลลาร์ หรือ 1,300 ล้านบาท
สรุปแล้ว สังคมมนุษย์ไม่ว่าที่ไหน ก็ยังคงให้ความสำคัญกับผลงาน และ ผลตอบแทน มากกว่ามาตรฐานจริยธรรมอยู่ดี น่าเศร้าใจไม่น้อยเลย
สำหรับกรณีซีอีโอเข้าป่าล่าสัตว์ บอร์ดและฝ่ายบริหารคงกำลังตั้งหลักว่า จะแถลงอย่างไร ส่วนราคาหุ้นของบริษัท วันแรกที่เป็นข่าว ร่วงลงไป 3.63% แต่ก็บังเอิญว่าวันนั้น ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงอย่างหนักพอดี จึงแยกลำบากว่า เป็นเหตุมาจากกรณีล่าสัตว์หรือไม่ แต่ที่น่าสังเกตก็คือ วันนั้นมูลค่าการซื้อขายหุ้น ของบริษัท สูงกว่าวันที่ผ่านมาถึง 4 เท่า
กรณีเข้าป่าล่าสัตว์ครั้งนี้ หลักฐานที่เจ้าหน้าที่นำมาแสดง มีมากทีเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรมว่า ซีอีโอ กระทำผิดกฎหมาย จริงหรือไม่ ส่วนประเด็นจริยธรรมและธรรมาภิบาล คงไม่ต้องรอกระบวนการ ทางกฎหมาย และบอร์ดของบริษัท น่าจะแถลงอะไรออกมาในเวลาอีกไม่นานนัก
ถ้ากลับไปดู 5 กลุ่มพฤติกรรมผิดจริยธรรม ที่ระบุไว้ในงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด กรณีนี้น่าจะตกอยู่ในกลุ่ม 16% รองสุดท้าย คือ "พฤติกรรมส่วนตัวไม่เหมาะสม" ส่วนผลที่ตามมา 5 ข้อ จะเป็นไปตามงานวิจัยหรือไม่ ก็คงต้องใช้เวลารอดูกันต่อไป
แต่ผมคิดว่าผลข้อแรกนั้นคงจะเกิดขึ้นแน่นอน คือ "พฤติกรรมครั้งนี้ จะไม่จางหายไปจากความทรงจำของผู้คนในสังคมง่ายๆ"และน่าจะเกินกว่า 5 ปี ตามผลการวิจัยด้วยซ้ำไป เพราะเรื่องนี้ "ใหญ่" จริงๆ
บริษัทก็ใหญ่ ซีอีโอก็ใหญ่ ข้อกล่าวหาก็ใหญ่ แถมสถานที่เกิดเหตุ ยังชื่อว่า "ทุ่งใหญ่"
มันจึงเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ของทุ่งใหญ่นเรศวร
และประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ของธรรมาภิบาลไทยเลยทีเดียว
#ACTองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน